ทองพันชั่ง: สมุนไพรที่มีสรรพคุณหลากหลาย

ทองพันชั่ง (Rhinacanthus nasutus) เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงและถูกใช้ในแพทย์แผนไทยมานานหลายร้อยปี เนื่องจากมีสรรพคุณในการรักษาโรคหลากหลายชนิด คนไทยมักใช้ใบ ราก ลำต้น

และทั้งต้นของทองพันชั่งในการรักษาอาการที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังและโรคภายใน รู้จักกันในชื่อ “หญ้าลิ้นงู” หรือ “อีเหนียว” พืชชนิดนี้ยังมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบและต้านมะเร็งที่เป็นประโยชน์

ทองพันชั่งมีสรรพคุณที่หลากหลาย และถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์แผนไทยหลายรูปแบบ ดังนี้:

  1. รักษาโรคผิวหนัง: ใบของทองพันชั่งมีสารที่ช่วยในการรักษาโรคผิวหนังหลายประเภท เช่น กลาก เกลื้อน และสะเก็ดเงิน สรรพคุณในการต้านเชื้อราทำให้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบนผิวหนังได้ดี
  2. ต้านการอักเสบ: สารสำคัญในทองพันชั่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย จึงถูกใช้ในการรักษาอาการอักเสบภายในต่าง ๆ เช่น อาการปวดข้อและอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
  3. ต้านมะเร็ง: มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าสารออกฤทธิ์ในทองพันชั่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารที่ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. รักษาระบบทางเดินหายใจ: สมุนไพรนี้ถูกนำมาใช้ในการบรรเทาอาการไอและรักษาอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด และหลอดลมอักเสบ
  5. ขับพยาธิและดีท็อกซ์: ทองพันชั่งยังมีฤทธิ์ขับพยาธิ ทำให้ใช้ในการรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาการทางระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ
  6. ลดระดับน้ำตาลในเลือด: ทองพันชั่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกเสริม

 

ทองพันชั่งสามารถนำมาใช้ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับอาการและความต้องการของผู้ใช้ ดังนี้:

  1. ใช้ภายนอก: สำหรับการรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลากหรือเกลื้อน ให้ใช้ใบหรือรากของทองพันชั่งนำมาบดละเอียดแล้วพอกลงบนบริเวณที่เป็น หรือคั้นเอาน้ำจากใบสด ๆ แล้วทาลงบนผิวหนังที่มีอาการ ควรทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น
  2. ใช้ภายใน: การต้มทองพันชั่งกับน้ำแล้วดื่ม สามารถช่วยลดอาการอักเสบภายใน บรรเทาอาการไอและช่วยในการขับพยาธิ โดยทั่วไปจะใช้ใบและรากในปริมาณที่เหมาะสม เมื่อต้มกับน้ำจนเดือด จากนั้นจึงดื่มน้ำต้มวันละ 1-2 ครั้ง
  3. แคปซูลสมุนไพร: สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกในการเตรียมสมุนไพรสด ทองพันชั่งในรูปแบบแคปซูลที่มีขายตามร้านสมุนไพรต่าง ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่นิยม เพื่อความสะดวกในการรับประทาน

 

แม้ว่าทองพันชั่งจะมีสรรพคุณที่หลากหลาย แต่ก็ไม่ควรใช้เกินขนาดหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก่อนการใช้ เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ทองพันชั่งเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณครอบคลุมและมีประโยชน์ต่อการรักษาหลายระบบในร่างกาย จึงเป็นที่นิยมในการใช้เพื่อรักษาโรคผิวหนัง อักเสบ และช่วยบรรเทาอาการทางเดินหายใจ

อย่างไรก็ตาม  เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล   การใช้งานควรระมัดระวังและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสมุนไพรนี้

ยาสามชนิดที่ใช้อย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อไตวาย

 ยาสามชนิดที่ใช้อย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อไตวาย: สิ่งที่คุณควรรู้เพื่อป้องกันตัวเอง

 

การใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต ยาสามชนิดต่อไปนี้คือกลุ่มยาที่พบว่าการใช้บ่อยๆ หรือนานเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไตวาย เรามาทำความรู้จักกับยาเหล่านี้และเรียนรู้วิธีการใช้ยาอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาไตวาย

  1. ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs)

ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน  นาพรอกเซน  และแอสไพริน  เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับบรรเทาอาการปวดและอักเสบ แม้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการ แต่การใช้ยากลุ่มนี้เป็นเวลานานและบ่อยครั้งสามารถทำลายเนื้อเยื่อไตและลดประสิทธิภาพการกรองของไตได้

 

NSAIDs ทำให้เลือดไหลเวียนไปยังไตลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ (Renal Hypoperfusion) ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้ ดังนั้นควรใช้ยาเหล่านี้ในปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาที่มีผลต่อไตตัวอื่นๆ

 

  1. ยาปฏิชีวนะบางชนิด

ยาปฏิชีวนะ เช่น อะมิโนไกลโคไซด์  รวมถึงเจนตามัยซิน  และโทบรามัยซิน  เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ยากลุ่มนี้สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อไตได้ โดยเฉพาะหากใช้ในปริมาณสูงหรือนานเกินไป

 

อะมิโนไกลโคไซด์มีความเป็นพิษต่อเซลล์ไต ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อไตและลดประสิทธิภาพในการทำงานของไต ในบางกรณี อาจทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้ การใช้ยาปฏิชีวนะเหล่านี้ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์และหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาที่มีผลกระทบต่อไต

  1. ยาขับปัสสาวะ 

ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรเซไมด์  และไฮโดรคลอโรไทอาไซด์  เป็นยาที่ใช้ในการรักษาภาวะบวมน้ำหรือความดันโลหิตสูง ยากลุ่มนี้ทำงานโดยการเพิ่มการขับปัสสาวะ ซึ่งช่วยลดการสะสมของน้ำในร่างกาย

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาขับปัสสาวะในปริมาณมากหรือนานเกินไปอาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และอาจเกิดการสูญเสียอิเล็กโทรไลต์สำคัญ เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของไต การขาดแคลนสารเหล่านี้อาจส่งผลให้การทำงานของไตเสื่อมลง และในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้

การใช้ยาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อไตได้ ยาในกลุ่ม NSAIDs ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยาขับปัสสาวะเป็นตัวอย่างของยาที่ควรใช้อย่างระมัดระวัง

หากต้องใช้ยาเหล่านี้เป็นเวลานานควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการตรวจสอบการทำงานของไตเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตวาย

ทั้งนี้การป้องกันและรักษาสุขภาพไตเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ยาอย่างถูกต้องตามคำแนะนำและการรักษาสุขภาพทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล

นี่คือสิ่งที่ผู้ประกอบการจะเปลี่ยนไปในปี 2566

ไม่กี่ปีหลังของการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนดูเหมือนจะดำเนินต่อไปในปี 2566

การเทขายในตลาดตราสารทุนเมื่อเร็วๆ นี้ การออกรอบการระดมทุนที่ท้าทาย แต่ในทางกลับกัน ความท้าทายประเภทนี้ต่างหากที่จะสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจใหม่ที่จะเกิดและสร้างขึ้น

ผู้ประกอบการที่ดีที่สุดเติบโตในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย พวกเขารู้วิธีที่จะจัดการกับความกลัวและตอบสนองต่อ – และแม้แต่กำหนด – การหยุดชะงัก พวกเขาเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่กลัวที่จะตั้งคำถามแบบเดิมๆ และลองอะไรใหม่ๆ

พวกเขาสามารถมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่เราต้องการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปข้างหน้าและเอาชนะความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

การเกิดขึ้นของผู้ประกอบการรูปแบบใหม่ ในฐานะผู้ประกอบการเอง สิ่งหนึ่งที่เหนือสิ่งอื่นใดทำให้ฉันยังคงมองโลกในแง่ดี: ทุกที่ที่ฉันมองไป ฉันเห็นผู้ก่อตั้งรุ่นใหม่กำลังสร้างหรือวางแผนที่จะสร้างธุรกิจใหม่ ในสหราชอาณาจักร

เราได้เห็นวิกฤตค่าครองชีพที่กำลังดำเนินอยู่ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสใหม่ต่อการเป็นผู้ประกอบการ

ซึ่งรวมถึงผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิม ผู้หญิงเกือบหนึ่งในห้า (17%) กำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นธุรกิจ เกือบครึ่ง (48%) อ้างถึงความปรารถนาที่จะมีเงินมากขึ้นและมีอิสระมากขึ้นในการเป็นเจ้านายของตนเองเป็นแรงจูงใจในการเริ่มต้น

การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจใหม่ที่จะเกิดและสร้างขึ้น ผู้ประกอบการรุ่นเยาว์กำลังก้าวข้ามตลาดแรงงานแบบเดิม ในขณะที่ผู้ที่ทำงานแล้วกำลังมองหาสิ่งอื่นที่เร่งรีบ ในปี 2566

เราจะเห็นผู้ประกอบการรูปแบบใหม่เกิดขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น คำนึงถึงสังคมมากขึ้น และไม่กลัวที่จะวุ่นวาย ไม่กี่ปีหลังของการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนดูเหมือนจะดำเนินต่อไปในปี 2566

การเทขายในตลาดตราสารทุนเมื่อเร็วๆ นี้ การออกรอบการระดมทุนที่ท้าทาย แต่ในทางกลับกัน

ความท้าทายประเภทนี้ต่างหากที่จะสร้างเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจใหม่ที่จะเกิดและสร้างขึ้น ผู้ประกอบการที่ดีที่สุดเติบโตในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย พวกเขารู้วิธีที่จะจัดการกับความกลัวและตอบสนองต่อ – และแม้แต่กำหนด – การหยุดชะงัก พวกเขาเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

ไม่กลัวที่จะตั้งคำถามแบบเดิมๆ และลองอะไรใหม่ๆ พวกเขาสามารถมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่เราต้องการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปข้างหน้าและเอาชนะความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

การเกิดขึ้นของผู้ประกอบการรูปแบบใหม่ ในฐานะผู้ประกอบการเอง สิ่งหนึ่งที่เหนือสิ่งอื่นใดทำให้ฉันยังคงมองโลกในแง่ดี: ทุกที่ที่ฉันมองไป ฉันเห็นผู้ก่อตั้งรุ่นใหม่กำลังสร้างหรือวางแผนที่จะสร้างธุรกิจใหม่ ในสหราชอาณาจักร

เราได้เห็นวิกฤตค่าครองชีพที่กำลังดำเนินอยู่ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสใหม่ต่อการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งรวมถึงผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิม ผู้หญิงเกือบหนึ่งในห้า (17%) กำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นธุรกิจ เกือบครึ่ง (48%)

เครื่องช่วยฟัง ดิจิตอล   อ้างถึงความปรารถนาที่จะมีเงินมากขึ้นและมีอิสระมากขึ้นในการเป็นเจ้านายของตนเองเป็นแรงจูงใจในการเริ่มต้น

ที่ซึ่งผู้ประกอบการหญิงพบบ่อยที่สุดและน้อยที่สุด ที่ซึ่งผู้ประกอบการหญิงพบบ่อยที่สุด คนอายุน้อยจำนวนมากที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ตัดสินใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำมันด้วยตัวเอง แทนที่จะพึ่งพาคนอื่น

จากการวิจัยในสหราชอาณาจักร หนึ่งในห้าของผู้ค้าเพียงรายเดียวใน Gen Z กล่าวว่าธุรกิจขนาดเล็กของพวกเขาคืองานแรกของพวกเขาที่ไม่ได้เรียนมา โดยไม่เคยเข้าสู่ตลาดแรงงาน “แบบดั้งเดิม”